
ทุกคนเคยสงสัยหรือไม่ว่าการแสดงท่าทางของน้องแมวนั้นสามารถแสดงความรู้สึกของน้องแมวได้ ซึ่งถือเป็นภาษากายที่ใช้สื่อสารให้มนุษย์เข้าใจ วันนี้ PetPlease ได้รวบรวมข้อมูลของภาษากายแมวต่าง ๆ ที่แสดงออก เพื่อที่เหล่าทาสจะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของน้องแมวมากยิ่งขึ้น!
บทความนี้ขอนำเสนอ
- ทำความเข้าใจภาษากายของแมว
- ท่าทางดีใจ
- ท่าทางเฉย ๆ
- ท่าทางเครียด และกังวล
- ท่าทางกลัว
- ท่าทางหงุดหงิด
- ท่าทางโกรธ
- ทำอย่างไรหากแมวเครียดและกังวล
- วิธีการสื่อสารกับแมว
- สังเกตอารมณ์น้องแมวจากเสียงร้อง
ทำความเข้าใจภาษากายของแมว

หากมนุษย์มีระบบการสื่อสารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารโดยใช้คำพูด หรือท่าทาง สำหรับน้องแมวนั้นก็มีการสื่อสารโดยใช้ท่าทางเช่นเดียวกัน หรือสิ่งที่เราเรียกว่า “ภาษากาย” การแสดงกิริยาเพื่อใช้ในการก็สามารถตีความได้มากมาย ในฐานะทาสแมวก็ต้องสังเกต และจดจำให้เป็นอย่างดี เพราะหากตีความไม่ถูกต้องจะส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีในการสื่อสารนัก เพราะสำหรับมนุษย์นั้นการสื่อสารที่ผิดพลาดก็นำมาสู่ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ได้นั่นเอง ดังนั้นเหล่าทาส ๆ แมวมือใหม่ควรศึกษาท่าทางของน้องแมวที่บ้านให้เป็นอย่างดี เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการสื่อสารที่ผิดพลาด
ท่าทางดีใจ

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เห็นน้องแมวที่บ้านของเราได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน เราสามารถสังเกตท่าทางที่บ่งบอกว่าน้องแมวกำลังดีใจอยู่ได้จากอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
หู
หูทั้งสองของน้องแมวจะบานออกมาด้านข้าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลาย และสบายใจ
ดวงตา
น้องแมวจะมีสายตาที่ผ่อนคลาย รวมถึงการกระพริบตาอย่างช้า ๆ เพื่อแสดงออกว่ากำลังรู้สึกผ่อนคลายอยู่
หาง
หางที่ตั้งตรง หรือชี้ขึ้นแสดงถึงอารมณ์ที่มีความสุข บางครั้งน้องแมวอาจจะเอาหางของตัวเองมาถูไถ เพื่อเป็นการทักทายเหล่าทาสก็เป็นได้
นอกจากนี้แล้วน้องแมวอาจแสดงท่าทีม้วนตัวไปมาบนพื้นที่แสนสบายตลอดทั้งวันก็เป็นการบ่งบอกว่าน้องแมวของเรานั้นกำลังดีใจ หรือผ่อนคลายได้เหมือนกันนะ!
ท่าทางเฉย ๆ

เป็นปกติที่เราจะเห็นน้องแมวอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ทำอะไร จนบางครั้งอาจสงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติที่ทำให้น้องแมวจำเป็นต้องอยู่ในท่าทีนิ่งเฉยหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วพฤติกรรมการอยู่เฉย ๆ นั้นเป็นการสื่อว่าน้องแมวกำลังสบายใจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่แสนสงบ โดยเราสามารถสังเกตได้จากอวัยวะเหล่านี้
หู
หูของน้องแมวจะตั้งตรง ไม่มีท่าทีบ่งบอกอะไรเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะว่าน้องแมวของเรานั้นกำลังอยู่ในสภาวะที่กำลังเพลิดเพลินกับความสงบรอบข้าง โดยไม่หืออืออะไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก หรือผิดปกติใด ๆ
ดวงตา
หากน้องแมวของเรามีดวงตาที่กลมโตขึ้นเหมือนกับลูกเม็ดลำไย เหล่าทาสอย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือกังวลใจไป เพราะดวงตาที่ขยายขึ้นนี้เป็นสัญญาณความเชื่อใจของน้องแมวนั่นเอง
หาง
หางของน้องแมวจะเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณของความสบายใจนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วเราสามารถสังเกตได้จากท่านอนที่เหยียดขาออก หรือนอนขดตัว ตลอดจนนอนทับขาหน้าอย่างผ่อนคลาย ไม่เกร็ง
ท่าทางเครียด และกังวล

ประสาทสัมผัสที่ดีเลิศของแมวนั้น ทำให้พวกเขามีความสามารถในการรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้อย่างรวดเร็ว โดยน้องแมวของเราจะมีท่าทีแปลกตาไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเราสามารถสังเกตท่าทางที่แสดงออกถึงอาการวิตกกังวลได้จากอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
หู
หูของน้องแมวจะตกลงมาข้างหน้า และเคลื่อนไหวไปมาอย่างถี่ ๆ การขยับหูเช่นนี้เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง และประมวลผลผ่านระบบการทำงานของสมองในการลำดับขั้นตอนสิ่งที่ควรทำ เมื่อมีภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาณที่มีความหมายว่ากำลังรู้สึกประหม่า หรือวิตกกังวลอยู่
ดวงตา
หากน้องแมวของเรามีดวงตาเบิกโพรงมากกว่าปตกิ เหมือนกำลังอยู่ในสภาะช็อคจนทำอะไรไม่ถูก สัญญาณนี้มีความว่าน้องแมวของเรากำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียด หรือกลัว เนื่องจากสิ่งเร้าภายนอกที่เปลี่ยนไปเฉียบพลัน ดังนั้นเราควรให้น้องแมวได้ปรับตัวก่อนจะเข้าไปวุ่นวาย มิเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อเหล่าทาสได้
หาง
น้องแมวจะทำหางลู่ รวมถึงหันมองสภาพแวดล้อมอย่างหวาดระแวง ในบางครั้งอาจทำตัวให้ลีบลง ซึ่งหมายความว่าน้องแมวของเรากำลังกลัว กังวล ตลอดจนไปถึงการรู้สึกเจ็บปวดได้
หากเราสังเกตว่าน้องแมวมีการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่แปลกตาไป เราควรที่จะให้น้องแมวค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมก่อนที่จะเข้าไปกอดปลอบ เพื่อป้องกันไม่ให้น้องแมวเกิดความเครียดสะสมมากกว่าเดิมนั่นเอง
ท่าทางกลัว

น้องแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไวต่อความรู้สึก อย่างที่เราทราบกันดีว่าน้องแมวมีประสาทสัมผัสที่เยี่ยมยอด ดังนั้นการตอบสนองต่อปฏิกิริยารอบข้าง จึงรวดเร็วเช่นเดียวกัน หากมีสิ่งเร้ารอบข้าง เช่น เสียงของสิ่งปลูกสร้างภายนอกที่ดังมากกว่าปกติ หรือสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาอย่างแออัด และวุ่นวาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกของน้องแมว เราสามารถสังเกตได้การตอบสนองของอวัยวะเหล่านี้
หู
หูของน้องแมวจะลู่ไปด้านหลัง และชิดกับกระโหลก มีท่าทางพร้อมที่จะวิ่งหนีตลอดเวลา
ดวงตา
ดวงตาของน้องแมวจะเบิกกว้าง และขยายใหญ่ คล้าย ๆ กับเม็ดลำไย เพียงแต่ดวงตาจะแข็งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนสำหรับทาสแมวว่ากำลังรู้สึกกลัว หรือกลัวอยู่ ดังนั้นเราจำเป็นต้องสังเกตดูกิริยาอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าน้องแมวของเรากำลังรู้สึกอะไรกันแน่
หาง
สำหรับหางของน้องแมวนั้นจะมีลักษณะเก็บซุกเข้าไประหว่างขา สังเกตง่าย ๆ จากการอุ้มน้องแมว หากน้องแมวมีกิริยาดังกล่าว แสดงว่าน้องแมวของเรากำลังรู้สึกกลัวอยู่นั่นเอง
ท่าทางหงุดหงิด

เวลาที่น้องแมวของเราเกิดอารมณ์หงุดหงิด ไม่ว่าปัจจัยจากสภาวะที่เปลี่ยนไป หรือปัจจัยใด ๆ ก็ตาม น้องแมวจะมีท่าทีที่พร้อมกระโจนเข้าไปหา หรือเดินไปมารอบสิ่งเร้าที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สบายใจ เราสามารถสังเกตอาการหงุดหงิดของน้องแมวได้จากอวัยวะเหล่านี้
หู
น้องแมวจะมีหูที่ลู่ไปยังด้านหลังของกระโหลกส่วนหัว เพื่อให้ย้ายต่อการกระโจนเข้าหาสิ่งเร้าที่รบกวนเวลาพักผ่อนของเขา
ดวงตา
น้องแมวจะไม่กระพริบดวงตา แม้แต่เล็กน้อยก็ตาม การจ้องค้างไว้แสดงถึงอำนาจของน้องแมว รวมถึงแสดงความก้าวร้าวที่พร้อมจะจู่โจมอยู่เสมอ ซึ่งอาการหงุดหงิดนี้ก็อาจเกิดจากการที่เราลืมใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินได้เช่นเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเราควรที่จะใส่ใจน้องแมวอยู่เสมอ
หาง
น้องแมวจะทำท่าทีไม่พอใจโดยการใช้หางของตัวเองฟาด หรือตีพื้นอย่างรุนแรง เพื่อแสดงบ่งบอกความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ หากมีสิ่งที่กำลังรบกวนน้องแมวอยู่ ให้หยุดกิริยาเหล่านั้นโดยด่วน มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหากับตัวคุณได้
ท่าทางโกรธ

หากน้องแมวมีท่าทีฉุนเฉียว หรือโกรธอย่างบ้าคลั่ง เราไม่ควรที่จะเข้าใกล้น้องแมวเพื่อปลอบประโลมโดยเด็ดขาด เพราะน้องแมวจะคิดว่าเป็นการคุกคาม ซึ่งอาจตอบโต้กลับด้วยความรุนแรงแทน ลำตัวน้องจะแข็งทื่อ กิริยาที่แสดงออกมาจะก้าวร้าวผิดปกติ ซึ่งอาจจะขู่ฟ่อ ส่งเสียงดังโวยวาย หรือพยายามพ่นน้ำลายออกมาได้ น้องแมวจะขยายตัวขึ้นมา เพื่อให้ดูน่าเกรงกลัว รวมถึงการเกร็งทุกสัดส่วนของอวัยวะในการตั้งรับสำหรับโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีรอ เราสามารถสังเกตอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ดังนี้
หู
น้องแมวจะเกร็งอวัยวะส่วนหูเข้ากับกระโหลกด้านหลัง ซึ่งรวมถึงการเกร็งลำตัวด้วยเช่นเดียวกัน การกระทำเช่นนี้แสดงถึงความรู้สึกโกรธเคือง ทางที่ดีควรจะให้น้องแมวสงบสติตัวเองสักพักก่อนเข้าไปปลอบให้เย็นลง
ดวงตา
น้องแมวจะหรี่ตาของตัวเอง เหมือนกับเสือที่กำลังแสดงท่าทีเกรงขาม โดยการกระทำเช่นนี้นั้นมาจากสัญชาตญาณนักล่าอยู่แล้ว
หาง
หางของน้องแมวจะขยายขึ้นเช่นเดียวกับการขยายลำตัว การพองขนให้ฟูออกมาอย่างมากที่สุด เป็นหนึ่งในสัญชาตญาณนักล่าที่ได้โดยกำเนิด
ทำอย่างไรหากแมวเครียดและกังวล ?

ตรวจสุขภาพเบื้องต้น
หากจู่ ๆ น้องแมวของเราเกิดอาการโมโห หรือเครียดโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เราควรที่จะนำน้องแมวไปพบสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถประเมินอาการ หรือสาเหตุเบื้องต้น เพื่อที่จะปรับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นจนเหมาะกับความต้องการของน้องแมวนั่นเอง
มอบพื้นที่ให้อย่างเหมาะสม
หากมีพื้นที่ที่กว้างขวางมากพอจนให้น้องแมวสามารถปีนป่ายได้จะช่วยลดอาการเครียด หรือวิตกกังวลได้ เพราะน้องแมวจะปลดปล่อยความรู้สึกนึกคิดที่สะสมเอาไว้ออกมาในรูปแบบของการใช้พลังงาน
ตรวจสอบความต้องการที่ตอบโจทย์
ในกรณีที่เหล่าทาสมีน้องแมวจำนวนหลายตัว ควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าปริมาณของอาหารนั้นเพียงพอต่อความต้องการของแมวทั้งหมด หากพบว่าอาหารที่ให้เป็นประจำนั้นไม่เพียงพอ ควรให้เพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของน้องแมวทุกตัว
วิธีการสื่อสารกับแมว

สื่อสารโดยการพูดคุย
เราสามารถใช้การพูดคุยเพื่อสื่อสารกับน้องแมวได้มากที่เราต้องการจะทำ เพื่อให้น้องแมวได้เรียนรู้การตอบสนองกับมนุษย์ผ่านการพูดคุยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องใช้เทคนิคเล็กน้อย ดังนี้
การสื่อสารโดยใช้โทนเสียงสูง-ต่ำ
ถึงแม้น้องแมวจะไม่สามารถสื่อสารภาษาของคนได้ แต่เราสามารถฝึกฝนให้น้องแมวเข้าใจสารที่เราต้องการจะสื่อได้ โดยแยกประเภทจากโทนของเสียง ทดลองใช้โทนเสียงสูง สำหรับการอธิบายถึงสิ่งที่เป็นมิตร ไม่อันตราย และปลอดภัย ทอลองใช้เสียงต่ำ สำหรับการอธิบายสิ่งที่อันตราย หรือไม่ปลอดภัย หากเราฝึกฝนเป็นประจำทุกวันจะส่งผลให้น้องแมวจดจำชุดคำสั่งเหล่านี้ และรับสารอย่างเข้าใจได้เป็นอย่างดี
การสื่อสารโดยการพูดซ้ำ ๆ วนไป
การพูดซ้ำ ๆ วนไปมา เพื่อปลูกฝังชุดความคิดให้น้องแมวทำตามสิ่งที่เราต้องการ เช่น การพูดคำว่า นั่ง หรือ นอนเป็นประจำทุกวัน ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นจนกลายเป็นกิจวัตร น้องแมวก็จะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับคำสั่งของเราได้ และสามารถทำตามคำสั่งได้ในที่สุด
สื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด
นอกจากการสื่อสารด้วยคำพูดแล้ว เรายังสามารถสื่อสารกับน้องแมวได้โดยการใช้ภาษากายระหว่างตัวเราเองกับน้องแมวอีกด้วย ซึ่งจำเป็นต้องฝึกฝน เนื่องจากภาษากายของมนุษย์ไม่ใช่ทักษะที่น้องแมวสามารถเข้าใจได้โดยกำเนิด โดยเราสามารถฝึกคำสั่งโดยใช้ภาษากายได้ ดังนี้
การกระพริบตาอย่างนุ่มนวล
เมื่อไหร่ก็ตามที่สบตากับน้องแมว ให้เราลองกระพริบตาอย่างช้า ๆ และนุ่มนวลที่สุด แล้วคอยสังเกตปฏิกิริยาตอบสนอง หากน้องแมวเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อให้เราได้สัมผัสก็แสดงว่าวิธีนี้ได้ผล เนื่องจากการกระทำเช่นนี้จะเป็นการแสดงออกถึงความรักที่นุ่มนวลที่สุด และทำให้น้องแมวรู้สึกปลอดภัย
การจ้องตาน้องแมวอย่างมีจังหวะ
การจ้องตานั้นไม่จำเป็นต้องทำตลอดเวลาที่สบตา เพียงแต่เราต้องรู้จังหวะเท่านั้น เพราะหากเราจ้องตาน้องแมวมากเกินไปจะทำให้ดูรู้สึกไม่เป็นมิตร และอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างทาสกับแมวได้
การแสดงออกผ่านอวัยวะเพื่อให้รู้ว่าปลอดภัย
เมื่อไหร่ก็ตามที่น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย เราสามารถใช้มือ หรืออวัยวะส่วนใดก็ได้ สัมผัสกับสิ่งของ หรืออาหารให้น้องแมวรู้สึกว่าปลอดภัยมากพอที่จะเปิดใจ และลองในสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร้กังวล โดยสามารถใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเข้ามาช่วยได้ในกรณีที่น้องแมวยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่
การแสดงออกในทิศทางเดียวกัน
ในบางครั้งเหล่าทาสมักมีพฤติกรรมที่สวนทางกันอยู่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น การดุน้องแมวในตอนที่ทำผิด เหล่าทาสมักเกิดความสงสารโดยไม่จำเป็น แม้จะดุแต่ยังใช้มือลูบหัว เพื่อปลอบอยู่เสมอ พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้น้องแมวมีนิสัยเคยชิน และไม่รู้สึกผิดเท่าที่ควร ดังนั้นเราควรที่จะแสดงออกไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อฝึกฝนให้น้องแมวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแสดงท่าทางอย่างอ่อนโยน
ไม่พยายามตะคอก หรือตะโกนว่าน้องแมวโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้น้องแมวรู้สึกไม่ปลอดภัย และอาจคัดค้านคำสั่งของเราได้ ดังนั้นเราควรสื่อสารกับน้องแมวอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด หรือท่าทางก็ตาม
สื่อสารโดยการออกคำสั่ง
อย่างที่เราทราบกันข้างต้นเราว่า หากเราต้องการฝึกฝนน้องแมวของเราให้ตามคำสั่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระทำที่สอดคล้องกับคำสั่ง เพื่อให้น้องแมวได้เข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราสามารถฝึกฝนได้ ดังนี้
การใช้น้ำเสียงเมื่อน้องแมวกระทำความผิด
หากน้องแมวกระทำความผิด เราจำเป็นต้องใช้โทนเสียงที่แตกต่างจากโทนที่เราใช้สื่อสารกับน้องแมวในชีวิตประจำวัน เพื่อให้น้องแมวสามารถแยกประเภทของเสียง และทำตามได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้บ่อย เพียงแค่ใช้อย่างจริงจังก็พอสำหรับการฝึกฝนแล้ว ทั้งนี้จะต้องทำให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของเราด้วย
การใช้คำสั่งที่สอดคล้องกับโทนเสียงของน้องแมว
เราจำเป็นต้องใช้โทนเสียงให้คล้ายกับโทนเสียงเวลาน้องแมวขู่ฟ่อให้ได้มากที่สุด เนื่องจากการขู่ฟ่อนั้นเป็นพฤติกรรมของน้องแมวเวลาโกรธ หรือไม่พอใจ หากเราต้องการที่จะฝึกฝนให้น้องแมวไม่ทำในสิ่งที่ผิด เราก็ต้องใช้โทนเสียงที่มีความใกล้เคียงกับภาษาของแมวมากที่สุดนั่นเอง
การใช้ความอดทนในการฝึกฝน
ทุกการฝึกฝนอาศัยความอดทนอย่างสูง ดังนั้นเราควรที่จะทำอย่างเป็นกิจวัตร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะหากทำได้ก็จะเป็นผลดีกับตัวทาส และแมวเอง
สังเกตอารมณ์น้องแมวจากเสียงร้อง

การที่น้องแมวส่งเสียงร้องดังออกมา ถือเป็นวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ควรสังเกต และให้ความสำคัญ เพราะน้องแมวพูดภาษาของคนไม่ได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องตอบโจทย์ความต้องการผ่านการสังเกต และเรียนรู้ภาษาของน้องแมวแทน โดยเราสามารถจำแนกเสียงร้องของน้องแมวได้ ดังนี้
เสียงร้องสั้น ๆ
การที่น้องแมวร้องเสียงสั้น ๆ เป็นระยะ ๆ นั้นแสดงถึงการทักทายโดยทั่วไป เหมือนที่เราทักเพื่อนฝูงของตัวเอง
เสียงร้องซ้ำ ๆ
การร้องซ้ำ ๆ จำนวนถี่ ๆ เปรียบเสมือนการทักทายอย่างตื่นเต้น โดยจะสังเกตได้จากเวลาเราพาน้องแมวออกไปเที่ยวเล่นน้องบ้าน
เสียงร้องลากยาว
การร้องโดยใช้เสียงลากยาวนั้นเปรียบเสมือนการร้องขอสิ่งที่ต้องการจะได้ แต่ไม่ได้สักที จึงจำเป็นต้องลากเสียงให้ยาว เพื่อให้เหล่าทาสแมวสนใจ และตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เสียงร้องต่ำ
หากน้องแมวใช้โทนเสียงต่ำ หมายความว่า น้องแมวไม่พอใจ หรือโกรธในการกระทำของคุณ และพร้อมที่จะต่อสู้อยู่เสมอ
เสียงร้องดัง และต่ำกว่าปกติ
การที่น้องแมวร้องเสียงดัง และต่ำกว่าที่เคยเป็น หมายความว่า ต้องการขอน้ำ หรือ อาหารโดยด่วนที่สุด
ถึงแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจภาษาของแมว หรือน้องแมวจะไม่เข้าใจภาษาของคน แต่สิ่งทำทำให้เราเข้าใจกันและกันนั่นก็คือ ภาษากาย ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ และฝึกฝนจากทั้งสองฝ่าย แม้จะต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้!
คำถามที่พบบ่อย
Q: น้องแมวเอาตัวมาถูไถหมายความว่าอย่างไร?
A: การที่น้องแมวแสดงกิริยาถูไถบริเวณอวัยวะของเรานั้น หมายความว่ากำลังทำให้กลิ่นของตัวเองติดกับร่างกายของเรา เป็นการแสดงความรักอีกอย่างหนึ่งของน้องแมวนั่นเอง
Q: น้องแมวร่าเริงในเวลากลางคืน ผิดปกติหรือไม่ ?
A: ไม่ผิดปกติ โดยธรรมชาติน้องแมวจะคึกคักเวลากลางคืนอยู่แล้ว เพราะมีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในสายเลือด จึงเป็นเรื่องปกติของน้องแมว
AUTHOR: Arthurchiii
2023, JAN 18