วันนี้ PetPlease จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเจ้าลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ หรือที่ทุกคนเรียกกันสั้น ๆ ว่าลาบราดอร์นั่นเอง! ลาบราดอร์เป็นสุนัขอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้สายพันธุ์อื่น ๆ เลยล่ะค่ะ แต่ว่าจะมีเรื่องอะไรของลาบราดอร์ที่พวกเราต้องรู้ก่อนเลี้ยงบ้าง มารู้ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า!
บทความนี้ขอนำเสนอเรื่อง
- ประวัติและความเป็นมาของลาบราดอร์
- ลักษณะเฉพาะตัวของลาบราดอร์
- นิสัยและพฤติกรรมสุดน่ารักของเจ้าลาบราดอร์
- อาหารและโภชนาการสำหรับลาบราดอร์
- เรื่องที่ลาบราดอร์ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
- โรคที่พบบ่อยในลาบราดอร์
- เจ้าของแบบไหนที่เหมาะกับการเลี้ยงลาบราดอร์
- คำถามที่พบบ่อย
ประวัติและความเป็นมาของลาบราดอร์
เรื่องแรกที่เราจำเป็นต้องรู้ก่อนนำลาบราดอร์มาเลี้ยง ก็คือประวัติและความเป็นมาของเจ้าตัวนี้นั่นเองค่ะ เจ้าลาบราดอร์มีต้นกำเนิดมาจากเกาะนิวฟันด์แลนด์ จากประเทศแคนาดา แถมยังมีชื่อเก่าอีกด้วยนะ ชื่อว่า เซนต์ จอนห์น (St. John’s) แต่ในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนมาเป็นลบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ แต่ผู้คนก็นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “แลป”
ลาบราดอร์ได้เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากพวกมันได้เข้าไปอยู่ในประเทศอังกฤษมากขึ้นนั่นเองค่ะ แต่ในปีนั้นลาบราดอร์ยังต้องนำเข้าจากประเทศแคนาดา แต่เพราะกฎหมาย จึงทำให้การนำเข้าเจ้าลาบราดอร์ไปในประเทศอังกฤษต้องจ่ายค่าภาษีที่แพงมาก ทำให้ช่วงนั้นเจ้าลาบราดอร์เกือบสูญพันธ์กันเลยทีเดียวล่ะค่ะ!
แต่ในเวลาต่อมาก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังชื่นชอบเจ้าสุนัขสายพันธุ์ลาบราดอร์อยู่ คนกลุ่มนี้จึงได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ ซึ่งลาบราดอร์ดั้งเดิมนั้นปกติมีแค่สีดำเท่านั้น แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์โดยนำลาบราดอร์ไปผสมพันธุ์กับสุนัขกลุ่มรีทรีฟเวอร์ ทำให้ภายหลังเจ้าลาบราดอร์ก็มีหลากหลายสีมากขึ้นค่ะ เช่น สีเหลืองหรือสีครีม ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้นี่เอง~
ลักษณะเฉพาะตัวของลาบราดอร์
มาดูลักษณะเฉพาะต้วของเจ้าลาบราดอร์กันบ้างดีกว่าค่ะ ในอดีตเจ้าลาบราดอร์ผู้คนมักเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไว้ล่าสัตว์ จึงทำให้รูปร่างของเจ้าลาบราดอร์ค่อนข้างที่จะใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ดวงตาโตและใหญ่มาก โดยเฉพาะตัวผู้จะมีความสูงอยู่ประมาณ 57 – 62 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 27 – 34 กิโลกรัม และตัวเมียสูง 54 – 59 เซนติเมตร น้ำหนัก 25 – 34 กิโลกรัม โดยจะวัดจากหัวไหล่ค่ะ นอกจากนี้เจ้าลาบรา
ดอร์ยังมีสีตาหลากหลายสีด้วยนะคะ แต่ที่เห็นบ่อย ๆ ก็จะเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแดงนั่นเองค่ะ
ลักษณะหางของลาบราดอร์จะแตกต่างจากสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ เพราะหางของเจ้าตัวนี้จะหนา มีลักษณะคล้ายกับหางของตัวนาก เป็นตัวช่วยในการว่ายน้ำที่ดีมากสำหรับสุนัขสายพันธุ์นี้เลยค่ะ นอกจากนี้เท้าของมันยังมีพังผืดทำให้ว่ายน้ำได้ดี และบางครั้งเท้าของเจ้าตัวนี้ยังถูกเรียกว่า “snowshoe” อีกด้วย เพราะเมื่อถึงหน้าหนาว พังผืดจะช่วยให้หิมะออกจากบริเวณเท้าได้ดีอีกด้วยน้า~
สำหรับสีขนของเจ้าลาบราดอร์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าในอดีตลาบราดอร์มีแค่สีดำ แต่ในปัจจุบันก็มีหลากหลายสีเลยล่ะค่ะ แต่สีขนของลาบราดอร์ที่ได้การยอมรับใน American kennel club มี 3 สี ได้แก่ สีดำ สีทองหรือเหลือง และสีน้ำตาลช็อกโกแลตเท่านั้น แต่ขนสีทองนั้นจะมีหลายเฉดสี ไล่มาตั้งแต่สีทองอ่อนจนถึงทองเข้ม และควรจะมีสีเดียวทั้งตัวค่ะ
นิสัยและพฤติกรรมสุดน่ารักของเจ้าลาบราดอร์
ก่อนจะเลี้ยงสัตว์สักหนึ่งตัว เราก็ควรจะต้องรู้เกี่ยวกับนิสัยและพฤติกรรมของสัตว์ตัวนั้น ๆ ก่อน มาดูกันดีกว่าว่านิสัยและพฤติกรรมของเจ้าลาบราดอร์เป็นยังไง จะน่ารักแค่ไหนกันน้า!?
ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นว่าเจ้าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่ดูบ๊อง ๆ ต๊อง ๆ ไปสักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวนี้เป็นสุนัขที่ฉลาดมาก ๆ เลยนะ และด้วยความฉลาดของลาบราดอร์จึงทำให้พวกมันได้ฝึกความสามารถต่าง ๆ มากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาผู้ประสบภัย ค้นหายาเสพติด นอกจากนี้เจ้าลาบราดอร์ยังเป็นสุนัขที่ร่าเริง กระตือรือร้น และยังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่ายอีกด้วยนะ
แต่ถึงแม้เจ้าลาบราดอร์จะเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย แต่ถ้าเราไม่ดูแลเอาใจใส่พวกเขา หรือปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังบ่อย ๆ พวกเขาก็จะมีนิสัยที่เปลี่ยนไป จนทำให้เจ้าของปวดหัวไม่น้อยเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการชอบกัดแทะสิ่งของ เห่าเสียงดัง หรือขุดดินรอบ ๆ บริเวณบ้าน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สามารถหายไปได้โดยการเอาใจใส่พวกเขาให้มากขึ้น หรือพาพวกเขาไปออกกำลังกาย และให้เขาเล่นของเล่นหรือเคี้ยวขนมขัดฟันเพื่อลดความเครียดของน้องหมาก็ได้เช่นกันค่ะ
อาหารและโภชนาการสำหรับลาบราดอร์
เรื่องอาหารก็เป็นอีกเรื่องที่ผู้เลี้ยงต้องรู้และต้องใส่ใจมาก ๆ เลยค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าลาบราดอร์ต้องการสารอาหารชนิดใดบ้าง และต้องการสารอาหารแต่ละชนิดเยอะแค่ไหน มาดูกันค่ะ!
โปรตีน
โปรตีนเป็นสารอาหารที่เจ้าลาบราดอร์ขาดไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงต้องการโปรตีนที่สูงตามไปด้วย เพื่อช่วยในการรักษาและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงนั่นเอง โดยเจ้าลาบราดอร์จะต้องการโปรตีนประมาณ 20-25% ต่อวัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ หากเยอะกว่านี้อาจจะทำให้น้องเป็นโรคอ้วนได้ในอนาคต ต้องระวังมาก ๆ เลยค่ะ
คาร์โบไฮเดรต
อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกค่ะ ว่าเจ้าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่มีพลังงานล้นเหลือมาก ๆ จึงต้องได้รับพลังงานสูง ๆ จากอาหาร ซึ่งคาร์โบไฮเดรตก็เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานนั่นเองค่ะ ซึ่งเราต้องปรับปริมาณการให้คาร์โบไฮเดรตตามกิจกรรมที่น้องทำในแต่ละวันด้วยนะคะ ให้น้อยเกินไปไม่ดี แต่ถ้าให้เยอะเกินไปก็จะทำให้อ้วนได้ ต้องคำนวณดี ๆ เลยล่ะค่ะ!
ไขมัน
มาถึงไขมันกันบ้าง! หลาย ๆ คนได้ยินชื่อแล้วอาจจะกลัว เพราะหลาย ๆ คนมักเข้าใจผิดว่าไขมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกาย แต่จริง ๆ แล้วพวกมันมีประโยชน์มากเลยนะคะ แต่ก็ต้องได้รับในปริมาณที่ไม่มากเกินไป โดยปกติแล้วไขมันมีหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อประสาทในสุนัข และยังช่วยสมานแผลได้อีกด้วยนะ ถึงแม้สุนัขจะไม่ได้ต้องการไขมันในปริมาณมาก แต่ก็เป็นสารอาหารอีกชนิดที่ขาดไม่ได้ค่ะ!
วิตามินและแร่ธาตุ
หลาย ๆ คน อาจจะนึกไม่ถึงว่าวิตามินและแร่ธาตุมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของสุนัขมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ต้องการในปริมาณที่มากเท่าสารอาหารชนิดอื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถขาดได้ค่ะ
เรื่องที่ลาบราดอร์ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แปรงขน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง เราต้องดูแลและใส่ใจเรื่องการแปรงขนเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าลาบราดอร์จะผลัดขนเยอะมากเป็นพิเศษ แต่โดยปกติแล้วเราควรจะต้องแปรงขนให้สุนัขเป็นประจำอย่างน้อย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกำจัดขนที่ตายแล้วออกไป และทำให้ผิวหนังกระตุ้นน้ำมันออกมาเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไปก็จะดีค่ะ
อาบน้ำเดือนละครั้ง
โดยปกติแล้วลาบราดอร์ไม่ใช่สุนัขที่ชอบเล่นจนเนื้อตัวสกปรกอยู่บ่อย ๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำให้พวกเขาบ่อยมากนัก อาจจะแค่เดือนละครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ แต่ถ้าหากสุนัขของเรามีเห็บและหมัดอาจจะต้องอาบให้บ่อยขึ้นหน่อยน้า~
ทำความสะอาดหู 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
การทำความสะอาดหูเป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงสุนัขอย่างลาบราดอร์ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ เพราะด้วยลักษณะหูของน้องที่พับลงมา ถ้าหากมีความชื้นภายในหูอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้ง่ายมาก ๆ ดังนั้นหลังจากอาบน้ำหรือหลังจากที่เราพาน้องไปว่ายน้ำ เราควรจะเช็ดหูน้องให้แห้งทุกครั้ง และควรทำความสะอาดหูอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งด้วยค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าหูของน้องไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้นนั่นเอง
ออกกำลังกายทุกวัน
สำหรับสุนัขบ้าพลังอย่างเจ้าลาบราดอร์ ถ้าเราไม่พาเขาไปออกกำลังกายเนี่ย พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกเครียดและทำลายข้าวของในบ้านได้เลยนะคะ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ของในบ้านต้องพังหรือเสียหายล่ะก็ เจ้าของต้องพาน้อง ๆ ไปออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมงกำลังดีเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะให้เจ้าลาบราดอร์ออกกำลังกายยังไงดีล่ะก็ ลองหากิจกรรมต่าง ๆ ใหพวกเขาทำดูค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการคาบจานร่อน วิ่งจ๊อกกิ้ง ปีนเขา หรือจะพาน้อง ๆ ไปว่ายน้ำก็ได้ เพราะเจ้าลาบราดอร์ชอบว่ายน้ำมาก ๆ เลยล่ะค่ะ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ถ้าหากเราอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสุนัขไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหน ๆ ก็ตาม ให้เราฝึกพวกเขาตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถฝึกเขาได้ง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการเข้าสังคม ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ รวมถึงการปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างถูกวิธีก็สามารถฝึกพวกเขาได้นะคะ เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสบายใจค่ะ!
โรคที่พบบ่อยในลาบราดอร์
เห้นเจ้าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่บ้าพลังและดูแข็งแรงมาก ๆ แต่พวกมันก็มีโรคประจำสายพันธุ์เหมือนกันนะ ซึ่งโรคที่พบบ่อย ๆ ในสายพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ มีดังนี้
โรคเกี่ยวกับโครงกระดูก และข้อต่อ
เจ้าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่มีความเสี่ยงในการที่จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับโครงกระดูกและกล้ามเนื้อสูงมาก เนื่องจากพวกมันเป็นสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ จึงทำให้พวกข้อต่อ กระดูกและกล้ามเนื้อของพวกมันทำงานหนัก จนทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูกเยอะมาก ๆ ค่ะ ซึ่งโรคที่พบบ่อย คือ
โรคข้อศอกเสื่อม (elbow dysplasia)
โรคข้อศอกเสื่อม เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของข้อศอก โดยโรคนี้มักจะพบในสุนัขที่กำลังเจริญเติบโต ซึ่งสุนัขที่เป็นโรคนี้จะมีอาการปวด บวมบริเวณข้อศอก แลถ้าหากเป็นหนักมาก ๆ อาจจะทำให้สุนัขเป็นโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคข้ออักเสบ
วิธีการป้องกันโรคนี้ คือ การหยุดแพร่พันธุ์สุนัขที่เป็นโรคนี้ค่ะ แต่สำหรับที่กำลังมองหาสุนัขมาเลี้ยงก็อาจจะต้องสอบถามเจ้าของฟาร์มก่อน ว่าพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เป็นโรคนี้ไหม ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีนึงที่ช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขที่เราจะนำมาเลี้ยงเป็นโรคนี้นั่นเอง แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะเป็นนะ! เพราะหลาย ๆ ครั้งโรคนี้ก็มักเกิดการเลี้ยงดูที่ไม่ดีนั่นเองค่ะ
โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia)
มาต่อกันที่โรคข้อสะโพกเสื่อมกันบ้าง โรคนี้ถือเป็นโรคยอดฮิตในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ ๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นต้น สาเหตุของการเกิดโรคข้อสะโพกเสื่อมนั้นมีหลากหลายสาเหตุมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเจริญเติบโตที่ผิดปกติ การออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธี หรือการได้รับสารอาหารและโภชนาการที่มากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น
สุนัขที่เป็นโรคข้อสะโพกเสื่อมจะมีอาการดังนี้ เดินกะเผลก เคลื่อนไหวลดลง มีอาการเจ็บหรือปวดเวลาเดิน และสุนัขบางตัวอาจจะมีขาที่ผิดรูปก็ได้เช่นกันค่ะ วิธีการป้องกันโรคนี้ อาจจะไม่ได้ผล 100% แต่ถ้าเราดูแลและรักษา เสริมสร้างโครงกระดูกของสุนัขให้แข็งแรงมาตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข พวกเขาก็จะมีความเสี่ยงที่เป็นโรคนี้น้อยลงค่ะ!
โรคเกี่ยวกับน้ำหนัก
มาต่อกันที่โรคเกี่ยวกับน้ำหนักบ้าง หลาย ๆ คนอาจจะไมรู้ว่าการที่สุนัขมีน้ำหนักมากหรืออ้วนมากเกินไปนั้น ส่งผลเสียต่อร่างกายของสุนัขอย่างไร ทำให้ยังมีหลาย ๆ คน ที่ยังขุนและเลี้ยงสุนัขให้ตัวอ้วน ๆ เพียงเพื่อแค่อยากให้พวกมันน่ารักและถูกใจพวกคุณ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดมากเลยค่ะ เพราะการที่สุนัขอ้วนหรือมีน้ำหนักเกินมาก ๆ ทำให้มีโรคต่าง ๆ เกิดขึ้นค่ะ! มาดูกันดีกว่าว่าถ้าเจ้าลาบราดอร์น้ำหนักเยอะ ๆ มาก ซึ่งโรคเกี่ยวกับน้ำหนักที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ในเจ้าลาบราดอร์ คือ
โรคอ้วน (Obesity)
แน่นอนค่ะว่าเมื่อสุนัขมีน้ำหนักมาก ๆ โรคแรกที่เป็นก็คือโรคอ้วนนั่นเองค่ะ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคนี้ส่วนใหญ่มจะมาจากการได้รับอาหารที่มากเกินไป เกินความต้องของร่างกายนั่นเองค่ะ วิธีการสังเกตว่าสุนัขของเราเป้นโรคอ้วนหรือเปล่า มีวิธีสังเหตที่ง่ายมาก ๆ เลยค่ะ สุนัขที่อ้วนจะมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ใหญ่ขึ้น หน้าท้องหย่อน หอบและเหนื่อยง่าย เป็นต้นค่ะ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคนี้ก็คือ เราไม่ควรให้อาหารกับสุนัขมากเกินไป และควรพาเขาไปออกกำลังเป็นประจำทุกวันนั่นเองค่ะ!
โรคหัวใจ (Heart Disease)
โรคหัวใจที่สุนัขเป็นบ่อย ๆ คือ โรคลิ้นหัวใจเรื้อรังและโรคกล้ามเนื้อหัวใจพอง ซึ่งโรคกล้ามเนื้อหัวใจพองจะพบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่ ๆ อย่างลาบราดอร์ โดเบอร์แมน เป็นต้น ซึ่งอาการของสุนัขที่เป็นโรคหัวใจมีดังนี้ หายใจลำบาก น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นแบบกะทันหัน หอบ เหนื่อยง่าย เป็นต้นค่ะ
เป็นที่น่าเสียดายมากค่ะ ที่โรคหัวใจไม่ได้มีวิธีการป้องกัน สุนัขทุกตัวมีโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพอจะมีวิธีการดูแลสุขภาพหัวใจให้มีสุขภาพค่ะ เช่น การออกกำลังกาย ไม่ปล่อยให้สุนัขมีน้ำหนักเยอะเกินไป ดูแลความสะอาดของช่องปากและฟัน และนอกจากนี้ก็ต้องพาสุนัขไปตรวจสุขภาพประจำปีด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าพวกมันป่วยหรือเปล่า และถ้าหากสุนัขของเราป่วย เราก็จะได้รับรู้ไวและยังสามารถดูแลสุนัขได้อย่างถูกวิธีอีกด้วย!
โรคเบาหวาน (Diabetes)
อีกโรคฮิตในสุนัขที่มีน้ำหนักเกิน คือ โรคเบาหวาน นั่นเองค่ะ โรคเบาหวานเกิดจากการที่ร่างกายไม่ผลิตอินซูลิน เมื่อร่างกายไม่ผลิตอินซูลินก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง พอร่างกายไม่ผลิตอินซูลินนานเข้า ก็ทำให้สุนัขเป็นโรคเบาหวานนั่นเองค่ะ
สุนัขที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการดังต่อไปนี้ คือ กระหายน้ำมากขึ้น ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดทั้ง ๆ ที่กินเยอะ ในบางตัวอาจจะมีอาการไม่อยากอาหารก็ได้เช่นกันค่ะ สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าสุนัขที่เราเลี้ยงเป็นโรคเบาหวาน ให้ไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการตรวจและรู้วิธีการดูแลน้องหมาอย่างถูกต้องจะดีกว่าค่ะ
โรคเกี่ยวกับการมองเห็น
โรคเกี่ยวกับการมองเห็นอาจจะไม่มีผลกระทบต่ออายุขัยของสุนัข ว่าสามารถอยู่กับเราได้นานไหมเหมือนกับโรคอื่น ๆ แต่การที่สุนัขมีปัญหาด้านการมองเห็น ก็ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันของสุนัขมาก ๆ ค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าลาบราดอร์เป็นโรคเกี่ยวกับการมองเห็นบ้างไหมนะ!?
โรคเปลือกตาม้วนเข้าและม้วนออก (Entropion & Ectropion eyelids)
โรคนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจจะทำให้เกิดการความรำคาญได้ค่ะ โดยปกติแล้วโรคนี้จะสืบทอดผ่านทางพันธุกรรม โดยสามาารถได้ตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขแต่ก็สามารถพบได้ในสุนัขที่อายุมากเช่นกันค่ะ อาการของสุนัขที่เป็นโรคนี้ คือ เปลือกตาจะม้วนเข้าไปข้างในและในบางตัวเปลือกตาอาจจะม้วนออกมาข้างนอก ทำให้เกิดการระคายเคืองลูกตา กระจกตาอักเสบ ตาแดง มีน้ำตาไหล เป็นต้น ซึ่งโรคนี้ก็สามารถรักษาได้ง่าย ๆ โดยการใช้น้ำยาหยอดตา หรือผ่าตัดเอาหนังตาออกก็ได้เช่นกันค่ะ!
โรคจอประสาทตาเสื่อม (Progressive Retinal Atrophy)
โรคจอประสาทตาเสื่อมเรียกได้ว่า เป็นโรคประจำตัวของลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เลยล่ะค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบในสุนัขที่มีอายุมากแล้ว วิธีสังเกตว่าสุนัขของเราเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมหรือเปล่า เราสามารถสังเกตได้ในเวลาที่มีแสงส่องมาที่พวกเขา รูม่านตาจะขยายมากกว่าปกติ และในสุนัขบางตัวพวกเขาอาจจะไม่กล้าเดินเข้าไปในห้องมืด ๆ และอาจจะเดินชนของเมื่อแสงไฟน้อย และถ้าในบางตัวที่เป็นหนัก ๆ หรือมีอาการรุนแรงก็จะสูญเสียการมองเห็นไปเลยค่ะ
ได้ทำความรู้จักโรคที่เจ้าลาบราดอร์เป็นกันบ่อย ๆ ก็อย่าลืมสังเกตและป้องกันเพื่อไม่ให้น้องมีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นะคะ ถ้าสงสัยว่าสุนัขของเราป่วยให้พาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เพื่อที่จะได้รับรู้ผลที่แน่ชัด และแนวทางในการป้องกันและดูแลเพิ่มขึ้นค่ะ อย่าลืมสังเกตน้องหมาที่กันด้วยน้า~
เจ้าของแบบไหนที่เหมาะกับการเลี้ยงลาบราดอร์
ไม่ใช่สุนัขทุกตัวที่จะเหมาะกับทุกคน ปกติแล้วคนเราจะมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป สุนัขเองก็มีนิสัยที่แตกต่างออกไปตามแต่ละสายพันธุ์เช่นกัน ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลี้ยงสุนัขสักตัวนึง เราต้องคำนึงถึงหลาย ๆ อย่าง ว่าเรากับสุนัขสายพันธุ์ที่เราอยากเลี้ยงสามารถเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราได้ไหม แล้วเราสามารถยอมรับพฤติกรรมของสุนัขได้หรือเปล่า มาดูกันดีกว่าว่าเจ้าของแบบไหนกันนะ ที่เหมาะที่จะเลี้ยงเจ้าลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ มาดูกัน!
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเจ้าลาบราดอร์เป็นสุนัขที่ต้องการดูแลเอาใจใส่มาก ๆ แถมยังเป็นสุนัขที่บ้าพลัง ทำให้เราต้องพาพวกมันออกไปออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน ดังนั้นเจ้าของที่เหมาะกับลาบราดอร์ต้องเป็นคนที่มีเวลามาก ๆ ค่ะ เพราะต้องพาน้องไปออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง และยังต้องหาเวลามาเล่นไม่ให้เจ้าลาบราดอร์เหงาอีกด้วยค่ะ
นอกจากนี้เจ้าลาบราดอร์ยังเป้นสุนัขที่ต้องการการฝึกขั้นพื้นฐาน เพื่อที่จะให้พวกมันสามรถใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น ๆ และคนอื่น ๆ ได้ค่ะ ถ้าเราไม่ได้ฝึกพวกมันตั้งแต่เด็ก ๆ หรือไม่ได้ฝึกเลย จะทำให้พวกมันเป้นสัตว์ที่เข้าสังคมไม่เป็น และยังทำให้เลี้ยงยากอีกด้วยค่ะ!
สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะเลี้ยงเจ้าลาบราดอร์ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังอยากจะเลี้ยงน้อง ๆ กันอยู่ไหมน้า? ถ้ายังอยากเลี้ยงอยู่ ก็อย่าลืมที่จะทำความเข้าใจและศึกษานิสัยและพฤติกรรมของพวกมันก่อนนะคะ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุก ๆ คน รู้จักเจ้าลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์กันมากขึ้นนะคะ ไว้พบกันใหม่ค่ะ~
คำถามที่พบบ่อย
Q : สามารถปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ อยู่กับลาบราดอร์ตามลำพังได้ไหม?
A : แม้สุนัขส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับเด็ก รวมถึงสุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ด้วย แต่ถ้าหากคุณจะปล่อยให้เด็กเล็กอยู่ตามลำพังกับลาบราดอร์ คุณต้องสอนให้เขารู้จักเล่นกับสุนัขอย่างถูกวิธี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรปล่อยให้สุนัขกับเด็กเล็กอยู่ด้วยกันตามระวัง เพราะอาจจะเกิดอันตรายที่เราไม่คาดคิดขึ้นได้!
Q : สุนัขลาบราดอร์สามารถอยู่ตามลำพังได้ไหม?
A : เราไม่ควรปล่ยอให้เจ้าลาบราดอร์อยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน ๆ เพราะหากพวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน ๆ พวกเขาจะเกิดอาการกระสับกระส่าย จนทำให้ต้องไปกัดและแทะสิ่งของรอบ ๆ บ้านจนเกิดความเสียหายได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- Labrador Retriever
- Labrador Retriever Dog Breed Traits & Characteristics
- 12 health problems Labrador Retrievers are more prone to than other breeds, warn vets
AUTHOR: MEW
2023, MARCH 27