ถ้าให้พูดถึงความสำคัญของการเลี้ยงสุนัข สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจ้าของอย่างเรานึกถึง และให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ก็คงจะเป็นในเรื่องของสุขภาพร่างกายของเจ้าตูบ ที่เจ้าของอย่างเราอยากที่จะเห็นน้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่การที่จะทำให้น้องมีร่างกายที่แข็งแรงได้นั้น การให้อาหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของอย่างเราไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด อย่างเช่นในเรื่องของการให้ บาร์ฟสุนัข ที่เชื่อว่ามีหลายคนไม่รู้ว่าการให้ บาร์ฟสุนัขนั้นส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของน้อง ๆ มากกว่าการให้อาหารสำเร็จรูปทั่วไป
วันนี้พวกเรา PetPlease เลยขออาสาพาทุกคนมากทำความรู้จักกับบาร์ฟสุนัขว่าคืออะไร ให้บาร์ฟสุนัขกับน้อง ๆ แล้วส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของน้อง ๆ มากขนาดไหน อีกทั้งเรายังมีวิธีการให้บาร์ฟสุนัขมาฝากเพื่อนๆทุกคนได้ลองนำไปใช้กับน้อง ๆ กันอีกด้วย ถ้าเพื่อน ๆ พร้อมที่จะอยากรู้กันแล้ว งั้นเรามาเริ่มทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันเลย
บทความนี้ขอนำเสนอ
- บาร์ฟสุนัขคืออะไร
- ข้อดีของอาหารบาร์ฟ
- ข้อเสียของอาหารบาร์ฟ
- ข้อควรระวังในการให้อาหารบาร์ฟ
- วิธีการให้อาหารบาร์ฟที่ถูกต้อง
- ปริมาณอาหารบาร์ฟที่เหมาะสมกับสุนัขแต่ละวัย
- คำถามที่พบบ่อย
1. บาร์ฟสุนัขคืออะไร
บาร์ฟ (BARF) ย่อมาจาก “Biologically Appropriate Raw Food” หรือ “Bones and Raw Food” หมายถึง อาหารที่มีส่วนประกอบมาจากเนื้อ อวัยวะภายใน และกระดูก รวมถึงไข่และผลิตภัณฑ์นม พืชผักผลไม้ ที่ไม่ผ่านความร้อน หรือพูดง่าย ๆ คือ การกินอาหารดิบ หรืออาหารสดนั่นเอง
สาเหตุที่ให้บาร์ฟกับสุนัข เพราะว่าในอดีตสุนัขเป็นสัตว์ป่า และเป็นนักล่าลำดับต้น ๆ ที่ชอบออกล่าเหยื่อ และออกหากินอาหารดิบ ๆ ตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้มีการผ่านความร้อน หรือการปรุงแต่งใด ๆ ก่อนที่ต่อมาสุนัขจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก กินแต่อาหาร ของสำเร็จรูปเหมือนในปัจจุบันนี้
2. ข้อดีของอาหารบาร์ฟ
เชื่อว่าหลาย ๆ คน กำลังสงสัยว่าการให้เจ้าตูบกินบาร์ฟสุนัข หรืออาหารดิบที่ไม่ผ่านความร้อน จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของสุนัขเหรอ? ขอตอบตรงนี้เลยว่าไม่เป็นอันตรายค่ะ! เพราะว่าการให้อาหารสด หรือให้อาหารดิบกับน้องหมานั้น มีประโยชน์มากกว่าที่ทุกคนคิดซะอีก
ซึ่งจากผลการวิจัย พบว่าการให้อาหารบาร์ฟแก่สุนัขมีข้อดี ดังนี้
ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร และระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น
อาหารบาร์ฟมีเส้นใยอาหาร และมีโปรตีนสูง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิมากขึ้น ลดการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคกระเพาะ ทางเดินอาหาร และลำไส้ แถมยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ขับถ่ายง่ายขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น รวมทั้งลดอาการภูมิแพ้ด้วย
สุนัขได้รับสารอาหารที่เหมาะสม
การให้สุนัขกินบาร์ฟหรืออาหารดิบตามวิถีแบบดั้งเดิมของสุนัข ทำให้ได้คุณค่าโภชนาการมากกว่าการกินอาหารเม็ดหรืออาหารสำเร็จรูป อาหารบาร์ฟมักจะเป็นอาหารดิบและกระดูก ที่ประกอบด้วยโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ อาหารบาร์ฟที่ปรุงสำเร็จรูปยึดตามอัตราส่วนที่เหมาะสมและมีส่วนผสมจากพืชเพื่อให้มีคุณค่าทางโภชนาการที่สมดุลอุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ
มีประโยชน์ ช่วยบำรุงผิวหนังและขน
การกินบาร์ฟจะช่วยให้สุนัขได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและเส้นขนแข็งแรง หมดปัญหาขนร่วงเป็นหย่อม ๆ ที่พบได้บ่อยในสุนัข แถมยังช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง ลดอาการคันและอักเสบ พร้อมทั้งบำรุงเส้นขนเงางามมีสุขภาพดี ขนหนาไม่หลุดร่วงง่าย ลดปัญหากลิ่นเหม็นสาบของแมวและสุนัขได้ด้วย
ฟันสะอาดและเหงือกแข็งแรง
สุนัขที่กินอาหารดิบ ส่วนใหญ่จะมีฟันที่สะอาดขึ้น เพราะการกินบาร์ฟจะช่วยลดอาการเหงือกอักเสบลดการก่อตัวของคราบหินปูนที่เกาะแน่นบนเนื้อฟัน ช่วยให้กลิ่นปากสะอาด
ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อาหารบาร์ฟจะทำให้มุนัขอิ่มนาน และอาหารบาร์ฟยังไม่มีส่วนผสมที่ทำให้น้ำหนักตัวของสุนัขเกินเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้คนมีเจ้าของหลาย ๆ คน เริ่มเตรียมอาหารบาร์ฟให้สนุกแล้ว แต่ก่อนที่จะเตรียมอาหารบาร์ฟ มาอ่านข้อเสียของอาหารบาร์ฟกันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง!?
3. ข้อเสียของอาหารบาร์ฟ
ถึงแม้ว่าในอดีตเจ้าตูบจะกินอาหารดิบตามธรรมชาติ และดูเหมือนว่าการกินอาหารดิบจะไม่ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกาย แต่ใช่ว่าการกินอาหารดิบ ๆ จะดีเสมอไป ข้อเสียของอาหารบาร์ฟก็มีเหมือนกัน เช่น
อันตรายจากเชื้อโรค
เชื้อโรคที่ติดมากับอาหารดิบ เป็นสาเหตุแรก ๆ ที่ทำให้เจ้าของไม่กล้าให้อาหารบาร์ฟกับสุนัข เพราะว่าอาหารดิบจำพวกเนื้อสัตว์ หากเตรียมและจัดเก็บไม่ดี รวมทั้งล้างภาชนะ มีดหรือเขียงไม่สะอาดทั้งก่อนทำและหลังทำ อาหารบาร์ฟก็เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อซัลโมเนลล่าและอีโคไล ถึงแม้ว่าในน้ำลายของสุนัข จะสามารถจัดการแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันสุนัขแต่ละตัวด้วย ถ้าระบบย่อยไม่แข็งแรง การรับเอาเชื้อโรคอันตรายเข้าไปถึงแม้จะนิดเดียว ก็มีโอกาสท้องเสียเฉียบพลันสูง
มีผลเสียต่อสุขภาพถ้าให้ไม่ถูกสัดส่วน
การให้บาร์ฟที่ดีไม่ใช่แค่ว่ามีแค่เนื้อดิบกับกระดูก แต่การให้บาร์ฟที่ดีต้องมีวัตถุดิบครบทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ เนื้อ กระดูกดิบ เครื่องใน ผักผลไม้ อาหารเสริม และควรให้อยู่ในสัดส่วนที่สมดุล ถ้าผู้เลี้ยงให้กินเนื้อ หรือผักผลไม้ไม่พอ อาจจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพเจ้าตูบ เช่น ท้องผูก มีภาวะแพ้ต่าง ๆ ขนร่วงหนัก เกิดการอักเสบที่กระเพาะและลำไส้ รวมทั้งมีผลต่อตับและไตได้ ถ้าจะทำบาร์ฟให้สุนัขกิน ควรวางแพลนให้ใน 1 สัปดาห์ น้องหมาได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่
ราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับอาหารสำเร็จรูป
อาหารบาร์ฟถือเป็น Human Food Grade มีเนื้อดิบเป็นส่วนผสมหลักที่อัดแน่นด้วยสารอาหาร และยังมีผักผลไม้สด รวมถึงอาหารเสริม ทำให้อาหารบาร์ฟมีราคาที่แพงมากกว่าอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย แต่ถ้านำอาหารบาร์ฟไปเทียบกับอาหารเม็ดเกรดพรีเมี่ยมที่เฉลี่ยราคากิโลกรัมละ 300-500 บาท บาร์ฟที่สัดส่วนถูกต้องก็ยังถือว่าถูกกว่าและประหยัดกว่ากันมาก
4. ข้อควรระวังในการให้อาหารบาร์ฟ
ถึงอาหารบาร์ฟสุนัขจะมีข้อดีหลายข้อ แต่ถ้าเราให้ผิดวิธีก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของสุนัขได้ ซึ่งการให้อาหารบาร์ฟมีข้อควรระวัง ดังนี้
เนื้อที่เตรียมต้องสด ใหม่ สะอาด
การทำอาหารบาร์ฟสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ “ความสดและสะอาด” อาหารบาร์ฟจำเป็นต้องทำสดใหม่ทุกวัน เพราะถ้าหากเราทำความสะอาดเนื้อดิบไม่ดี หรือเก็บไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทำให้เกิดเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ ซึ่งถ้าสุนัขทานเข้าไป อาจทำให้ลำไส้ของสุนัขเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบขึ้นมาได้
ระวังเรื่องกระดูกที่ติดกับเนื้อสัตว์
ในเนื้อสัตว์ดิบบางส่วนจะมีกระดูกปนอยู่ ถ้าสุนัขเคี้ยวไม่ดีพอ อาจจะเผลอกลืนกระดูกเข้าไปและอาจเป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้ ซึ่งกระดูกบางส่วนมีความแหลมคมอาจเกิดการทิ่มแทงกระเพาะอาหารของสุนัขด้วย
อาจเกิดสภาวะขาดสารอาหาร หรือสารอาหารเกิน
เนื้อสัตว์แต่ละชนิดมีปริมาณสารอาหารไม่เท่ากัน หรือแม้แต่ผลไม้ ก็อาจได้รับวิตามินและแร่ธาตุไม่ครบ การให้อาหารบาร์ฟอาจทำให้สุนัขได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่ครบ หรือได้รับไขมันส่วนเกิน ซึ่งสามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน
ใช้เวลาเตรียมนาน และเตรียมยาก
บาร์ฟเป็นอาหารที่ค่อนข้างใช้เวลาเตรียมนานและยากพอสมควร นอกจากจะต้องแบ่งปริมาณเนื้อดิบและผักผลไม้ให้อยุ่ในสัดส่วนที่สมดุลกันแล้ว ยังต้องเลือกเนื้อดิบที่มั่นใจว่าไม่มีสารเคมี สารเร่งหรือแหล่งปนเปื้อนต่าง ๆ ทำให้ใช้เวลานานในการวัตถุดิบเป็นเวลานาน
อาจไม่เหมาะกับสุนัขบางสายพันธุ์
ถึงแม้ว่าอาหารบาร์ฟจะเป็นวิถีการกินอาหารแบบดั้งเดิมของสุนัข แต่สุนัขบางสายพันธุ์ในปัจจุบัน เช่น ปั๊ก หรือ เฟรนช์บูลด็อก ที่ถูกปรับแต่งสายพันธุ์ ทำให้กรามสั้นลง ความสามารถในการกัดหรือบดเคี้ยวก็ลดลงด้วย ทำให้ไม่เหมาะกับการกินอาหารดิบที่ต้องใช้แรงฉีกกัดที่สูง
อาหารบางอย่างอาจไม่เหมาะกับสุนัข
มีอาหารหลายอย่างที่สุนัขห้ามทาน เช่น นมวัว และผักผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้นก่อนที่จะทำอาหารบาร์ฟให้เจ้าตูบของเรา เราต้องตรวจสอบให้ดีก่อน ว่าสุนัขสามารถกินอะไรได้บ้าง หรือกินอะไรไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพเจ้าตูบของเรา
5. วิธีการให้อาหารบาร์ฟที่ถูกต้อง
สำหรับใครที่สนใจอยากที่จะลองให้บาร์ฟสุนัขกับเจ้าตูบของเราดู ก็สามารถลองให้บาร์ฟสุนัขตามวิธี และคำแนะนำที่พวกเรานำมาฝากกันได้ โดยวิธีการให้บาร์ฟสุนัข จะมีอะไรกันบ้างก็มาดูกันต่อเลยดีกว่า
- ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าสุนัขของเราพันธุ์อะไร มีขนาด และน้ำหนักเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้คำนวณปริมาณของบาร์ฟสุนัขอย่างถูกต้อง หลักการให้อาหารบาร์ฟโดยทั่วไปแล้ว จะให้อัตราส่วน 2-4% ของน้ำหนักตัวสุนัข เช่น สุนัขมีน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ให้กินเนื้อดิบผสมผักผลไม้ราว 200-400 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ดี ก่อนให้อาหารบาร์ฟควรปรึกษาสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโดยเฉพาะ
- เลือกบาร์ฟที่ดี มีคุณภาพ สดใหม่ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อโรค จนทำให้เสี่ยงอันตรายต่อน้องหมา
- ควรให้เนื้อสัตว์ดิบ ในปริมาณ 70% ของปริมาณบาร์ฟทั้งหมด จะเลือกเป็นเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรือเนื้อปลาก็ได้ แต่ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ สดใหม่เท่านั้น ไม่ควรใช้เนื้อสัตว์ค้างคืน หรือใกล้เสียเด็ดขาด และควรหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ เพราะอาจจะทำให้สุนัขเกิดอาการแพ้อาหารจากการกินเนื้อไก่เข้าไปได้
- ในบาร์ฟควรจะมีกระดูกอ่อนที่น้องหมาสามารถเคี้ยวได้ ในปริมาณ 10% เพราะจะช่วยบริหารกราม และฟันของสุนัขให้สุขภาพดี
- ในบาร์ฟควรจำเป็นจะต้องมีตับ เครื่องในส่วนอื่น ๆ รวมไปถึงไข่ไก่ในปริมาณ 10% ก็จะช่วยเพิ่มสารอาหาร และวิตามินให้กับน้องหมาของเรา
- ควร On Top ด้วยผัก และผลไม้ ในปริมาณ 10% ของบาร์ฟทั้งหมด เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร การขับถ่าย และเพิ่มสารอาหาร รวมไปถึงวิตามินให้กับสุนัขด้วย
6. ปริมาณอาหารบาร์ฟที่เหมาะสมกับสุนัขแต่ละวัย
การจะให้สุนัขกินอาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหน ก็ต้องดูควบคู่ไปกับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นอายุ สายพันธุ์ การเผาผลาญ การออกกำลังกาย และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ สำหรับปริมาณอาหารบาร์ฟที่สุนัขแต่ละวัยควรได้รับ มีดังนี้
สุนัขวัยเด็ก (ช่วงอายุ 1 -12 เดือน )
สำหรับสุนัขที่มีอายุ 2-6 เดือน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ 8-10% ของน้ำหนักตัว หรือจำนวน 3-4 มื้อต่อวัน และสุนัขที่มีอายุ 6 -12 เดือน ปริมาณแนะนำต่อวัน คือ 5-8 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 2-3 มื้อต่อวัน
สุนัขโตเต็มวัย
สำหรับสุนัขที่โตเต็มวัยแล้ว ปริมาณแนะนำต่อวันคือ 2-4 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 1-2 มื้อต่อวัน
และยังสามารถปรับลดหรือเพิ่มสัดส่วนอาหารบาร์ฟได้ หากสุนัขออกกำลังกายเป็นประจำ หรือเริ่มเสี่ยงภาวะน้ำหนักเกิน
สุนัขสูงวัย
สำหรับสุนัขวัยนี้ มักจะขยับร่างกายน้อยลงทำให้การเผาผลาญน้อยลงตามไปด้วยเช่น ดังนั้นปริมาณอาหารบาร์ฟที่แวะต่อวัน คือ 1-2 % ของน้ำหนักตัว จำนวน 1-2 มื้อต่อวัน
สุนัขทุกสายพันธ์เมื่ออายุเกิน 7 ปีแล้ว ต้องปรับให้กินอาหารน้อยลง ควบคุมน้ำหนัก เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
- สุนัขตั้งท้องและอยู่ในช่วงให้นมลูก
สุนัขที่กำลังตั้งท้อง และยังอยู่ในการให้นมลูก ถือว่าเป็นสุนัขที่ต้องการพลังงานมาก ดังนั้นปริมาณของอาหารบาร์ฟที่ควรได้ต่อวัน คือ 3-6% ของน้ำหนักตัว จำนวน 3- 5 มื้อ
สุนัขที่มีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัว
สำหรับสุนัขที่มีปัญหาสุขภาพหรือโรคประจำตัว โดยเฉพาะสุนัขที่ป่วยเป็นโรคตับ ไต เบาหวาน ตับอ่อนอักเสบ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ฯลฯ ต้องพิจารณาเป็นรายตัวไปว่าร่างกาย สามารถปรับมากินบาร์ฟได้หรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ สายพันธ์ นิสัยการกิน รวมถึง ต้องจำกัดปริมาณโปรตีนและไขมัน ลดแป้งและน้ำตาล เพิ่มปริมาณไฟเบอร์ เสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ควรปรึกษาสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการ
คำถามที่พบบ่อย
Q: สุนัขสามารถกินอาหารบาร์ฟพร้อมกับอาหารเม็ดได้ไหม?
A: อาหารทั้งสองแบบนั้นมีการย่อยที่แตกต่างกัน จึงไม่ควรนำมาผสมในมื้อเดียวกัน เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน การทานรวมกันนั้นอาจทำให้อาหารเข้าไปอยู่ในกระเพาะนานเกินไปและถ้าเกิดขึ้นบ่อย ๆ จะส่งผลเสียให้กับสุนัข ในกรณีที่จะให้ทานอาหารเม็ดควรที่จะแยกเป็นมื้อถัดไป หรือ เป็นวันถัดไปเลยจะดีกว่า
Q: ลูกสุนัขสามารถกินบาร์ฟได้ไหม?
A: ลูกสุนัขสามารถทานบาร์ฟได้ตั้งแต่หย่านมแม่ แต่ควรมีภาชนะส่วนตัวของแต่ละตัวเอาไว้ เนื่องจากลูกสุนัขบางตัวอาจจะแย่งอาหารจากตัวอื่นทำให้สุนัขนั้นได้รับอาหารที่มากเกินไป หรือ น้อยเกินไป
Q: อาหารบาร์ฟ แบบสำเร็จรูปเหมาะที่จะให้สุนัขหรือไม่?
A: อาหารบาร์ฟที่ดีที่สุด คือการเตรียมแบบวันต่อวัน เพื่อความสด ใหม่ สะอาด ไม่ผ่านการเก็บรักษา คงรสชาติและคุณประโยชน์ไว้ได้สูงสุด ดังนั้นอาหารบาร์ฟสำเร็จรูป หรือ กลุ่มอาหารแช่แข็งอาจมีสารอาหารหรือคุณประโยชน์ที่ลดลงได้
Q: สุนัขไม่ยอมกินบาร์ฟ ทำอย่างไร ?
A: การที่สุนัขไม่ยอมกินอาหารบาร์ฟมีหลายสาเหตุ เช่น ไม่คุ้นชินกับกลิ่นอาหารดิบ อาหารบาร์ฟนิ่มหรือแข็งเกินไป ถ้าน้องหมาของเราไม่ยอมทานเพราะไม่คุ้นชินกับกลิ่นอาหารดิบ ให้เราใส่อาหารเม็ดเดิมผสมลงไปก่อนแล้วค่อยลดปริมาณอาหารเม็ดเรื่อย ๆ
แต่ถ้าน้องหมาของเราไม่กินเพราะอาหารบาร์ฟนิ่มหรือแข็งเกินไป ให้เราทำอาหารบาร์ฟแบบกึ่งแข็งกึ่งนิ่มแทน ซึ่งแบบกึ่งนิ่มกึ่งแข็ง คือ เราสามารถบีบก้อนบาร์ฟให้นิ่มลงด้วยมือเราได้ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังเป็นน้ำแข็งอยู่นั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นการให้ความสำคัญในเรื่องของอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา หรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของอย่างเราควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าเราอยากให้น้อง ๆ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การเลือกอาหารให้เหมาะกับน้อง ๆ เลือกอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารที่ครบถ้วน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อสุขภาพ ร่างกายของน้องที่จะช่วยทำให้น้องสุขภาพดี และอยู่เป็นเพื่อนคู่ใจกับเราไปนาน ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- อาหารบาร์ฟ (BARF) คืออะไร ข้อดีที่แตกต่างจากอาหารสำเร็จรูปทั่วไป
- รู้จักกับ “บาร์ฟ” (BARF) เทรนด์การให้อาหารยอดฮิตในน้องหมา
- อาหาร BARF คืออะไร รู้ครบก่อนเริ่ม เพื่อน้องหมาแข็งแรงปลอดภัย
อ่านบทความที่คล้ายกันได้ที่นี่
เคล็ด(ไม่)ลับและวิธีเลือกอาหารสุนัข ให้เหมาะกับเจ้าตูบของเรา
ผักผลไม้ที่สุนัขกินได้ ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อน้องหมา
5 อาหารต้องห้ามของสัตว์เลี้ยง ห้ามให้น้องกินเด็ดขาด!
AUTHOR: MEW
2022, DEC 15