
ถ้าให้พูดถึงสุนัขสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม นอกจากโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ และไซบีเรียนแล้ว สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล (Beagle) ก็เป็นอีกสายพันธุ์นึงที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน! ซึ่งตัวการ์ตูนอย่าง สนูปปี้ จากเรื่อง พีนัตส์ ต้นแบบของเจ้าสนูปปี้ก็คือสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลนั่นเอง!
วันนี้ PetPlease ได้รวบรวมข้อมูลที่น่ารู้ และน่าสนใจเกี่ยวกับเจ้าบีเกิ้ลมาให้ทุกคนได้อ่านกัน มาทำความรู้จักเจ้าบีเกิ้ลไปพร้อม ๆ กันเลย รับรองว่าทุกคนจะต้องตกหลุมรักเจ้าสุนัขตัวนี้อย่างแน่นอน!
บทความนี้ขอนำเสนอ
- ถิ่นกำเนิดของบีเกิ้ล มาจากไหนกันนะ!?
- ลักษณะทางกายภาพของ บีเกิ้ล
- นิสัยและพฤติกรรมของเจ้าบีเกิ้ล!
- อาหารและโภชนาการที่เจ้าบีเกิ้ลต้องการ
- การดูแลที่เจ้าบีเกิ้ลต้องการมากเป็นพิเศษ!
- ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในบีเกิ้ล
- ผู้เลี้ยงแบบไหนที่เหมาะกับเจ้าบีเกิ้ล!?
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบีเกิ้ล
ถิ่นกำเนิดของบีเกิ้ล มาจากไหนกันนะ!?

สำหรับสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล ถือเป็นอีกสายพันธุ์นึงที่มีที่มาของต้นกำเนิดไม่แน่ชัด แต่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายว่า สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลเริ่มได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1307 ในสมัยนั้นขนาดของบีเกิ้ลมีขนาดที่เล็กมาก จึงถูกเรียกว่า “Gloved Beagles” บางคนก็เรียกว่า บีเกิ้ลสุนัขยอดนักร้อง (Singing Beagles) และในช่วงปีค.ศ. 1533 – 1603 บีเกิ้ลมีความนิยมเพิ่มสูงขึ้น เพราะความสามารถทางการดมกลิ่น ทำให้มันเป็นที่นิยมในกีฬาล่าสัตว์ของชนชั้นสูง แต่ในตอนนั้นบีเกิ้ลยังมีความสูงอยู่ที่ 9 นิ้ว และเดินได้ค่อนข้างช้า
บีเกิ้ลถูกพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จนถึงปีค.ศ. 1800 Reverend Phillip Honeywood พัฒนาสายพันธุ์บีเกิ้ลที่คาดว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลในปัจจุบัน โดยเขาพยายามพัฒนาบีเกิ้ลให้มีความสามารถในการล่า โดยในสมัยนั้นบีเกิ้ลมีขนาดตัวประมาณ 15-17 นิ้ว และถูกใช้สำหรับการล่าสุนัขจิ้งจอก ในขณะเดียวกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์บีเกิ้ลให้ดูมีความน่ารักมากขึ้น ทำให้มีขนาดตัวเล็กลงเพื่อให้เหมาะกับการล่ากระต่าย และในปีค.ศ. 1884 บีเกิ้ลได้รับการรับรองจาก The American Kennel Club อย่างเป็นทางการ และในปัจจุบันบีเกิ้ลได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในวงการงานวิจัยต่าง ๆ และวงการสุนัขดมกลิ่น เพื่อตรวจหาสิ่งผิดกฎหมายตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ
ลักษณะทางกายภาพของ บีเกิ้ล

จริง ๆ แล้วสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล มีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะตัว แต่ก็มีสุนัขหลายสายพันธุ์ที่มีลักษณะคล้าย ๆ เจ้าบีเกิ้ล เช่น Harrier และ English Foxhound เป็นต้น เพื่อการแยกรูปร่าง ลักษณะของบีเกิ้ลให้ง่ายขึ้น วันนี้ PetPlease ได้รวบรวมลักษณะของเจ้าบีเกิ้ลมาให้ทุกคนสังเกตกัน!
มาเริ่มกันที่ขนาดกันก่อนเลยค่ะ สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลนั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขขนาดกลาง สุนัขบีเกิ้ลมีขนาดมาตรฐาน เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 15 ปอนด์ หรือประมาณ 7 กิโลกรัม ถึง 30 ปอนด์ หรือ 14 กิโลกรัม ตัวผู้มีความสูงอยู่ระหว่าง 13 ถึง 15 นิ้ว หรือ 33 – 38 เซนติเมตร และตัวเมียจะมีขนาดตัวที่เล็กกว่าเล็กน้อย และสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 – 15 ปี
จุดเด่นของเจ้าบีเกิ้ล คือ หูที่พับลงมา ซึ่งหูจะมีลักษณะกว้าง กลมและใหญ่ ปลายหูกลมมน อยู่ติดชิดศีรษะ ดวงตามีลักษณะกลม และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พอดีกับใบหน้า กะโหลกค่อนข้างยาว หางเรียวยาว ปลายหางโค้งขึ้นเล็กน้อย และบริเวณปลายหางจะมีสีขาว และเอกลักษณ์อีกอย่างของเจ้าบีเกิ้ล คือ สีขน ซึ่งมีทั้งหมด 3 สี คือ สีขาว สีน้ำตาล และสีดำ แต่สีขนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือสุนัขบีเกิ้ลที่มีขน 3 สี ในตัวเดียว
นิสัยและพฤติกรรมของเจ้าบีเกิ้ล!

สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลนั้น เป็นสัตว์ที่มีนิสัยน่ารักและเป็นมิตรเหมือนกับหน้าตาของมันเลยค่ะ แต่ในอดีตนั้นเจ้าบีเกิ้ลถูกเลี้ยงให้เป็นสุนัขล่าสัตว์ ทำให้มีนิสัยและพฤติกรรมที่ค่อนข้างซุกซน ดูแลยาก จนบางครั้งก็ทำให้เจ้าของปวดหัวเลยทีเดียว เจ้าบีเกิ้ลมีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่โดดเด่นมาก คือ การดม และการเห่านั่นเองค่ะ เจ้าบีเกิ้ลมีจมูกที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้มันมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ และด้วยเหตุนี้ทำให้มันตื่นตัวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ง่าย จนทำให้เจ้าบีเกิ้ลเห่าบ่อยนั่นเอง แต่บางครั้งการเห่าก็เกิดจากอาการเบื่อของเจ้าบีเกิ้ลที่ถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวบ่อย ๆ ถ้าไม่อยากให้เจ้าบีเกิ้ลเห่า หรือมีนิสัยที่ก้าวร้าว เจ้าของต้องดูแล และไม่ปล่อยน้องให้อยู่ตัวคนเดียวนานเกินไป
อาหารและโภชนาการที่เจ้าบีเกิ้ลต้องการ

การให้อาหารสุนัขเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในสุนัขวัยเด็ก เพราะต้องการอาหารและสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อนำไปเลี้ยงร่างกายให้เติบโตมาอย่างแข็งแรง สำหรับการให้อาหารสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล ควรให้อาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย และกิจกรรมในแต่ละวันของสุนัข โดยปกติแล้วเจ้าบีเกิ้ลเป็นสุนัขที่มีพลังค่อนข้างเยอะ ทำให้ต้องออกกำลังกายเพื่อปลดปล่อยพลังงาน ดังนั้นการให้อาหารควรเน้นไปที่การให้พลังงาน ซึ่งอาหารและสารอาหารที่เจ้าบีเกิ้ลควรได้รับในแต่ละวัน มีดังนี้
อาหารที่เหมาะสำหรับบีเกิ้ล วัยเด็ก
สำหรับบีเกิ้ลวัยเด็กจะมีอายุอยู่ที่ 8 สัปดาห์ ถึง 2 เดือน สุนัขวัยนี้ควรใส่ใจเรื่องอาหารและโภชนาให้มากที่สุด เพราะสุนัขวัยนี้ต้องการสารอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง และพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย สุนัขวัยนี้ต้องการอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน 5 หมู่ และสารอาหารอื่น ๆ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
อาหารที่เหมาะสำหรับบีเกิ้ล โตเต็มวัย
เจ้าบีเกิ้ลโตเต็มวัยนั้น จะมีอายุอยู่ที่ 1 ปีขึ้นไป สำหรับสุนัขวัยนี้ควรได้รับประทานอาหารสองมื้อต่อวัน และควรได้รับพลังงานจากอาหารไม่เกิน 45 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ เจ้าบีเกิ้ลโตเต็มวัยนั้น ต้องได้รับอาหารครบถ้วน 5 หมู่ และสารอาหารอื่น ๆ เช่น ไฟเบอร์ ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร อีพีเอและดีเอชเอ ช่วยรักษากระดูก และไขข้อกระดูก เป็นต้น
อาหารที่เหมาะสำหรับบีเกิ้ล วัยชรา
เจ้าบีเกิ้ลที่มีอายุ 9 ปีขึ้นไป จะถือว่าเป็นสุนัขวัยชรา สุนัขวัยนี้จะเคลื่อนไหวน้อยลง ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย ผู้เลี้ยงต้องแบ่งอาหารออกเป็นสองมื้อ แต่ควรลดปริมาณอาหารให้น้อยลง และควรได้รับพลังงานจากอาหารไม่เกิน 42 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ หรืออาจจะเปลี่ยนไปให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขสูงอายุ สูตรเหล่านี้จะลดปริมาณไขมัน และอาหารที่เติมเข้าไปเพราะจะเริ่มเผาผลาญอาหารได้ยาก
นอกจากอาหารและสารอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ สุนัขเองก็มีอาหารที่พวกเขาไม่สามารถทานได้เหมือนกันนะ มีหลายชนิดมาก ๆ ด้วย ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรที่สุนัขไม่สามารถทานได้บ้าง อ่านได้ที่ 5 อาหารต้องห้ามของสัตว์เลี้ยง ห้ามให้น้องกินเด็ดขาด! (petplease.co/blogs/journal-pets/5-foods-pet-cant-eat)
การดูแลที่เจ้าบีเกิ้ลต้องการมากเป็นพิเศษ!

ทำความสะอาดใบหู สัปดาห์ละครั้ง
เจ้าบีเกิ้ลนั้น มีลักษณะหูที่ลงมาปกแนบชิดกับใบหน้า ทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย เจ้าของควรทำความสะอาดใบหูให้เจ้าบีเกิ้ลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อ มีวิธีสังเกตุง่าย ๆ คือ หากเจ้าบีเกิ้ลของเราสะบัดหัว แสดงว่าน้องมีอาการคันที่ใบหูค่ะ ให้รีบทำความสะอาดด่วน!
แปรงขน อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลนั้น เห็นขนของน้องสั้นแบบนั้น แต่มีขนถึงสองชั้นเชียวนะ! ขนของเจ้าบีเกิ้ลทั้งหนาและแน่น แถมกันน้ำอีกด้วย เจ้าของอย่างเราจึงควรแปรงขนให้เจ้าบีเกิ้ลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้ว และกระตุ้นการเกิดใหม่ของขนได้ด้วย
แปรงฟัน 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
สุขภาพช่องปากของสุนัข เป็นสิ่งที่เจ้าของมองข้ามเยอะที่สุด! เพราะคิดว่าการแปรงฟันให้สุนัขไม่จำเป็น บางคนอาจจะใช้ขนมขัดฟันแทนการแปรงฟัน ซึ่งก็สามารถทำได้ แต่เพื่อสุขภาพฟันและเหงือกที่ดีมากขึ้นของเจ้าบีเกิ้ล เจ้าของควรแปรงฟันให้เจ้าบีเกิ้ลอย่างน้อย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าเจ้าของสามารถแปรงฟันให้เจ้าบีเกิ้ลได้ทุกวันจะดีกว่า เพราะคราบพลัค และแบคทีเรียในช่องปากเติบโตทุกวัน และเติบโตได้ไว ก่อนจะมีปัญหาช่องปากที่ไม่คาดคิดตามมา ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพช่องปากของเจ้าบีเกิ้ลกันด้วยนะคะ
ตัดเล็บ 1 – 2 ครั้งต่อเดือน
นอกจากความสะอาด เช่นแปรงฟัน อาบน้ำ ทำความสะอาดหูแล้ว การตัดเล็บก็เป็นอีกอย่างที่สำคัญมาก เพราะถ้าหากเล็บยาวเกินไปอาจจะทิ่มเนื้อได้ และจะทำให้น้องมีปัญหาเกี่ยวกับสะโพกอีกด้วย สำหรับสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลควรตัดเล็บให้ 1 – 2 ครั้งต่อเดือน แต่มีวิธีสังเกตง่าย ๆ ดังนี้ หากเจ้าบีเกิ้ลของเราเล็บยาวเกินไป จะมีเสียงครูดไปกับพื้นเวลาเดินไปเดินมา เป็นสัญญาณที่บอกว่าเล็บของเจ้าบีเกิ้ลยาวเกินไปแล้วนั่นเอง หากน้องมีเล็บสีดำ แนะนำให้พาไปหาผู้เชี่ยวชาญดีกว่า
ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน
เมื่อเจ้าบีเกิ้ลเริ่มโตเต็มวัย หรือเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจะมีพลังงานที่ล้นเหลือมาก การพาเจ้าบีเกิ้ลไปออกกำลังกายทุกวัน จะสามารถช่วยปลดปล่อยพลังงานได้ แถมยังเป็นการป้องกันการเกิดโรคอ้วนในบีเกิ้ลอีกด้วยนะ
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในบีเกิ้ล

สุนัขทุกสายพันธุ์ โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์แท้ มักจะมีโรคตามพันธุกรรมที่ติดตัวมาเสมอ เจ้าบีเกิ้ลเองก็มีโรคทางพันธุกรรมเช่นกัน ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล มีดังนี้
โรคหู
อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก ว่าใบหูของสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลจะมีลักษณะที่ปรกลงมาชิดศีรษะ ทำให้มีอากาศไหลผ่านน้อย ทำให้เชื้อแบคทีเรียและยีสต์เติบโตได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เจ้าบีเกิ้ลของเราหูอักเสบนั่นเอง วิธีการป้องกันก็คือ การเช็ดทำความสะอาดใบหูให้เจ้าบีเกิ้ลอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถึงจะทำความสะอาดเป็นประจำก็อาจเกิดโรคนี้ได้ ควรสังเกตอาการของเจ้าบีเกิ้ลให้ดี หากน้องสะบัดหัวบ่อย ๆ อาจจะเพราะติดเชื้อจนทำให้เกิดอาการคัน ให้รีบนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง
โรคอ้วน
ถึงแม้สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลจะมีพลังงานที่ล้นเหลือ แต่ก็มีโอกาสสสูงมากที่จะเกิดโรคอ้วนได้ เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นสุนัขที่มีความอยากอาหารเยอะ มันไม่รู้ว่าควรกินเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าอิ่ม ทำให้เจ้าบีเกิ้ลชอบขออาหารอยู่ตลอดเวลา และถ้าเจ้าของอย่างเราใจอ่อนให้กิน ก็จะทำให้น้องเป็นโรคอ้วนได้ง่ายขึ้น วิธีป้องกัน คือ การปรึกษาสัตวแพทย์ว่าควรให้เจ้าบีเกิ้ลของเราได้รับปริมาณอาหารเท่าไหร่ ถึงจะพอดี และพาน้องไปออกกำลังกายบ่อย ๆ
โรคเชอร์รีอาย
โรคเชอร์รีอาย คือภาวะของต่อมของหนังตาที่สามยื่นโผล่ออกมาเป็นถุงสีแดง ๆ โรคนี้มักพบได้บ่อยในบีเกิ้ล อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อต่อมน้ำตาอักเสบ จะมองเห็นได้ในมุมล่างด้านในของดวงตา ส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่สามารถนำไปสู่การติดเชื้อที่ตาได้ โรคเชอร์รีอาย อาจจะเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีสามารถหายได้เอง แต่บางรายอาจถึงขั้นต้องผ่าตัด
โรคลมชัก
โรคลมชักมักจะเกิดได้ในสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลมากกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น ๆ โดยจะพบมากสุดในช่วงอายุ 2 – 5 ปี ซึ่งอาการชักจะเกิดขึ้นประมาณ 30 – 60 วินาที และมีอาการตั้งแต่เล็กน้อย ไปจนถึงอาการหนัก ซึ่งเจ้าของสามารถสังเกตอาการของเจ้าบีเกิ้ลที่มีอาการชัก ได้ดังนี้ ขาแข็ง ตัวแข็ง ควบคุมร่างกายไม่ได้ หากเจ้าบีเกิ้ลของเรามีอาการดังกล่าว ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วน
โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ
โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อที่พบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล คือ ภาวะข้อสะโพกเสื่อม โดยอาการของภาวะข้อสะโพกเสื่อมจะมีอาการเจ็บขาหลังเวลาเดินหรือลุกขึ้นยืน และยังพบภาวะสะบ้าเคลื่อน ซึ่งจะมีการยกขาขึ้นเล็กน้อยขณะเดิน หรือมีการเขย่าขา ยืดขาก่อนที่จะกลับมาเดินในท่าปกติ อาการเหล่านี้หากเป็นมากอาจทำให้เกิดปัญหาข้ออักเสบ ข้อเสื่อม ตามมาได้
โรคไทรอยด์
ส่วนใหญ่โรคไทรอยด์ที่พบได้ในสุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ล มักจะเป็นภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ ซึ่งโรคนี้สัตวแพทย์บอกว่าเกิดขึ้นได้จากการผสมพันธุ์ สุนัขที่มีภาวะไทรอยด์ต่ำ จะมีอาการดังต่อไปนี้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ทานอาหารเท่าเดิม ขนแห้ง แข็ง หยาบกระด้าง ในสุนัขบางตัวอาจจะมีอาการขนร่วงร่วมด้วย หากเจ้าบีเกิ้ลของคุณมีอาการเหล่านี้ ให้รีบไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ผู้เลี้ยงแบบไหนที่เหมาะกับเจ้าบีเกิ้ล!?

สุนัขทุกตัว ทุกสายพันธุ์จะมีนิสัยและพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป ก่อนจะตัดสินใจเลี้ยงแนะนำให้ศึกษานิสัยและพฤติกรรมของสัตว์ที่เราจะเลี้ยงก่อน ว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์เราไหม เราสามารถอยู่ดูแลเขาไปตลอดชีวิตได้รึเปล่า มาดูกันดีกว่าว่าสัตว์เลี้ยงแบบเจ้าบีเกิ้ล เหมาะกับผู้เลี้ยงแบบไหนกันนะ!?
ผู้เลี้ยงที่มีพื้นที่ในการเลี้ยง
สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดกลาง ๆ สามารถเลี้ยงในอพาร์ตเม้นหรือคอนโดได้ แต่ด้วยนิสัยของเจ้าบีเกิ้ล ที่ชอบเห่าเสียงดัง อาจจะทำให้ไม่เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่ที่จำกัดแบบ อพาร์ตเม้น เพราะเสียงเห่าของมันอาจจะรบกวนผู้อาศัยคนอื่นได้ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเลี้ยงจริง ๆ เจ้าของอาจจะต้องฝึกเพื่อไม่ให้เจ้าบีเกิ้ลเห่าเสียงดังนะคะ ถ้าหากผู้เลี้ยงอยากฝึกให้สุนัขอย่างเจ้าบีเกิ้ลหยุดเห่า สามารถทำตามวิธีในบทความ ทำยังไงให้หมาหยุดเห่า? (petplease.co/blogs/dog-knowledge/how-to-stop-dog-bark) ได้เลยค่ะ
ผู้เลี้ยงที่มีเวลาดูแลเจ้าบีเกิ้ล
เจ้าบีเกิ้ลเป็นสุนัขที่มีนิสัยที่ค่อนข้างซุกซนชอบกัด ชอบขุด และชอบเห่าเสียงดัง เจ้าของอาจจะต้องมีเวลาฝึกให้เจ้าบีเกิ้ลไม่ทำพฤติกรรมเหล่านี้ หรือถ้าหากไม่มีเวลาอาจจะพาเจ้าบีเกิ้ลไปฝึกที่โรงเรียนฝึกสุนัขก็ได้นะ! ซึ่งสถานที่ฝึกสุนัขก็มีหลายที่มาก สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 5 ศูนย์ฝึกอบรมสัตว์เลี้ยง ฝึกสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณให้แสนรู้ (petplease.co/blogs/review/5-pet-training-center) และเจ้าบีเกิ้ลเอง ยังเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมมาก ไม่ชอบอยู่ตัวคนเดียว หากเจ้าของไม่มีเวลาดูแล ทิ้งน้องไว้คนเดียวนาน ๆ อาจจะทำให้น้องมีพฤติกรรมและนิสัยที่ก้าวร้าวขึ้นได้ ดังนั้นเจ้าบีเกิ้ลจึงเหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีเวลาดูแลมากกว่าผู้เลี้ยงที่ปล่อยให้เจ้าบีเกิ้ลเหงาอยู่ตัวเดียวนะ
ผู้เลี้ยงที่มีสัตว์เลี้ยงหลายตัว
สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลนั้น เป็นสุนัขที่เป็นมิตรทั้งคนและสัตว์ แถมยังปรับตัวเก่งอีกด้วย สำหรังผู้เลี้ยงที่มีสัตว์เลี้ยงหลายตัว แต่อยากที่จะมองหาสัตว์เลี้ยงตัวอื่นมาเลี้ยงเพิ่ม เจ้าบีเกิ้ลก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยนะ!
ผู้เลี้ยงที่ไม่ชอบความเงียบ
สำหรับใครที่เป็นคนขี้เหงา ไม่ชอบความเงียบ ขอบอกเลยว่าเจ้าบีเกิ้ลเหมาะกับคุณสุด ๆ ! เพราะนิสัยพื้นฐานของเจ้าบีเกิ้ลนั้น เป็นสุนัขที่ติดผู้คน ชอบเข้าสังคม และชอบเห่าเสียงดัง เห่าบ่อย เห่าเก่ง จนได้ฉายาว่า “สุนัขยอดนักร้อง” เลยค่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบความสงบ เจ้าบีเกิ้ลอาจจะไม่เหมาะกับคุณ แต่ ถ้าชอบความวุ่นวายก็รับเจ้าบีเกิ้ลไปเลี้ยงได้เลย!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบีเกิ้ล
Q: บีเกิ้ลเข้ากับเด็กเล็กได้หรือไม่?
A: บีเกิ้ลขึ้นชื่อในเรื่องของความเฟรนลี่ สามารถเข้าได้กับทุกคน โดยเฉพาะเด็ก แต่ต้องระวังหากคุณมีเด็กเล็ก ๆ เพราะบีเกิ้ลชอบเล่นโดยใช้ปากงับของต่าง ๆ โดยเฉพาะมือ แต่เราสามารถสอนเจ้าบีเกิ้ลไม่ให้ทำได้
Q: สุนัขบีเกิ้ลสามารถเฝ้าบ้านได้ไหม?
A: บีเกิ้ลไม่เหมาะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เพราะพวกเขาชอบเข้าสังคม ชอบเล่นสนุก ชอบผูกมิตรกับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ หากเจ้าบีเกิ้ลต้องอยู่ตามลำพัง เป็นเวลานานจนเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียด และนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าวได้
Q: สุนัขบีเกิ้ลกินกระดูกได้ไหม?
A: กระดูกไม่ใช่อาหารที่ดีต่อสุขภาพของสุนัข หากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง แต่สามารถให้กินกระดูกดิบได้ แต่ก็ต้องระวังเชื้อโรคที่ปนมาจากกระดูกที่ยังดิบด้วย
Q: ทำไมสุนัขบีเกิ้ลถึงหิวตลอดเวลา?
A: ที่สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลหิวตลอดเวลา เพราะว่า ระบบย่อยอาหารของมันค่อนข้างช้า แตกต่างจากคน คนใช้เวลาแค่ประมาณ 20 นาที ถึงอาหารถึงย่อยและเริ่มรู้สึกว่าอิ่ม แต่เจ้าบีเกิ้ลใช้เวลาถึง 3 วันกว่าอาหารจะย่อยและทำให้รู้สึกอิ่ม เพราะเหตุนี้จึงทำให้เจ้าบีเกิ้ลรู้สึกเหมือนหิวตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เพิ่งทานอาหารไป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเรื่องราวของเจ้าบีเกิ้ล สุนัขที่จมูกดีอันดับต้น ๆ ของโลก! เริ่มตกหลุมรักเจ้าสุนัขสายพันธุ์นี้กันแล้วหรือยังคะ ถ้าเริ่มตกหลุมรักเจ้าบีเกิ้ล ก็อย่าลืมมองหาเจ้าตัวเล็กมาไว้ที่บ้านสักตัวนะคะ รับรองว่าชีวิตของคุณจะไม่เหงาอีกต่อไปแน่นอน!
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่
เคล็ดไม่ลับ 7 วิธีฝึกสุนัขให้เชื่อฟัง
8 ของใช้สุนัขสุดจำเป็น ใครเริ่มเลี้ยงหมาต้องเตรียมให้พร้อม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- beagle
- beagle-feeding-guide
- dog-breed-profile-beagle-1117938
- beagle
- ทำความรู้จักกับ-บีเกิ้ล
- are-beagles-good-apartment-dogs
- beagle-personality
AUTHOR: MEW
2022, DEC 16